
Exhibitions / Gallery 1 & 2, 3rd Floor
EN THMo num en ts
หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ภูมิใจเสนอ รู ป ระ ลึก (MO NUM EN TS) นิทรรศการเดี่ยวโดยศิลปินจากเชียงใหม่ ส้ม ศุภปริญญา ภัณฑารักษ์โดย กฤติยา กาวีวงศ์ จัดขึ้นภายใต้โครงการทุนสร้างสรรค์ศิลปะวิดีโอเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อรำลึกถึงดินห์ คิว. เล ร่วมมือกับ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน; องค์กรศิลปะเอาท์โพส, เวียดนาม; มูเซออน, อิตาลี; พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮิโรชิม่า, ญี่ปุ่น; หอศิลป์ชาร์ลอตเทนบอร์ก, เดนมาร์ก; และ พิพิธภํณฑ์ศิลปะร็อคบันด์, จีน
นิทรรศการนี้สานต่อการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องของ ส้ม ศุภปริญญา ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และอุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ผลงานชุดนี้ตั้งคำถามว่าการทำลายธรรมชาติมิได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของ “ความก้าวหน้า” เท่านั้น หากแต่เป็นผลลัพธ์ของเงื่อนไขทางวาทกรรมและอุดมการณ์ ซึ่งรวมถึงโฆษณาชวนเชื่อจากการแข่งขันของโลกเสรีและฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่ต่างมีบทบาทในการสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการพัฒนาใหญ่ในภูมิภาค
ในผลงานวิดีโอชิ้นใหม่ รู ป ระ ลึก (2025) ส้ม ศุภปริญญาสำรวจมิติทางวัฒนธรรมของการโฆษณาชวนเชื่อในยุคสงครามเย็น ผ่านสื่อที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS) ศิลปินนำภาพและเสียงจากสื่อเหล่านี้มาวางเคียงกับภูมิทัศน์ทางธรรมชาติร่วมสมัยของไทย เพื่อสะท้อนสิ่งที่เธอเรียกว่า “ยุคหลังโฆษณาชวนเชื่อ (post-propaganda era)” ผลงานชิ้นนี้ชวนผู้ชมตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของสงครามเย็นที่ยังคงแฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน และต่อ “สัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้า” อย่างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนปากมูล ซึ่งแม้ไม่สามารถผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่กลับถูกเชิดชูไว้ในฐานะ “อนุสาวรีย์” ของอุดมการณ์
นอกจากนี้ นิทรรศการยังนำเสนอผลงาน Paradise of the Blind (2016/2025) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดผลงาหนังสือต้องห้าม สำรวจประเด็นการเซ็นเซอร์ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย โดยศิลปินได้รวมหนังสือต้องห้ามและหนังสือที่ “ไม่ถูกห้าม” มาจัดแสดงร่วมกัน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่ากลไกของการควบคุมความรู้และเสรีภาพนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผ่าน “การห้าม” เท่านั้น แต่ยังเกิดจาก “การอนุญาตเลือกสรร” ที่หล่อหลอมความเข้าใจของสังคมภายใต้ชื่อของเสรีภาพ
ทั้งสองผลงานร่วมกันเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้สำรวจชั้นเชิงของอำนาจ ความรู้ และสิ่งที่มองไม่เห็นในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างอุดมการณ์ ความทรงจำ และภูมิทัศน์ ทางธรรมชาติที่ยังคงสะท้อนร่องรอยของอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
รู ป ละ รึก (Mo num en ts), 2568
วิดีโอจัดวาง 4 จอ, สี, ระบบเสียง 5.1 และภาพถ่าย
ขนาดแปรผันตามพื้นที่
สนับสนุนโดย โครงการทุนสร้างสรรค์ศิลปะวิดีโอเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อรำลึกถึงดินห์ คิว. เล ร่วมมือกับ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน; องค์กรศิลปะเอาท์โพส, เวียดนาม; มูเซออน, อิตาลี; พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮิโรชิม่า, ญี่ปุ่น; หอศิลป์ชาร์ลอตเทนบอร์ก, เดนมาร์ก; และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร็อคบันด์, จีน
Still from Mo num en ts video, Courtesy of the artist.
ผลงานชิ้นนี้สำรวจว่าการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกาและไทยได้เปลี่ยนภูมิทัศน์และทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร ไม่เพียงแค่บนผิวดิน แต่ลึกลงไปในระบบการจัดการที่ดินและผู้คน “การพัฒนา” ถูกส่งเสริมในฐานะเส้นทางสู่ความทันสมัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อจัดวางประเทศไทยไว้ในกลุ่ม “โลกเสรี” และถูกเฉลิมฉลองผ่านความสำเร็จระดับโลกและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส อันดับการส่งออกข้าว เขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนภูมิพล ชื่อเสียงระดับโลกของผ้าไหมไทย (จิม ทอมป์สัน) ไปจนถึงดนตรีหมอลำที่รับอิทธิพลจากป๊อปอเมริกัน
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดที่ถูกนำเข้ามาในช่วงสงครามเย็นไม่ใช่แค่อาวุธยุทโธปกรณ์ แต่คือสื่อวิทยุและโทรทัศน์สำนักข่าวสารอเมริกัน ผลิตสื่อจำนวนมหาศาลในประเทศไทย ทั้งภาพยนตร์ นิตยสาร และหนังสือ เพื่อเผยแพร่เรื่องเล่าความก้าวหน้าและวิสัยทัศน์ความทันสมัยของโลกเสรี สื่อเหล่านี้นำเสนอภาพของโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และสาธารณสุขในฐานะสัญลักษณ์ของความเจริญ พร้อมชักชวนให้ไทยและชาติพันธมิตรดำเนินตามอุดมการณ์อเมริกัน
ใน รู ป ระ ลึก (2568) ศุภปริญญาวางสื่อจากยุคสงครามเย็นข้างเคียงกับภูมิทัศน์สังคมการเมืองไทยปัจจุบัน หรือสิ่งที่เธอเรียกว่า “ยุคหลังโฆษณาชวนเชื่อ (post-propaganda era)” เพื่อตรวจสอบว่ามรดกทางอุดมการณ์จากสงครามเย็นยังคงกำหนดวาทกรรมรัฐอย่างไร และว่าสัญลักษณ์ของ “ความภาคภูมิใจของชาติ” จำนวนมากถูกหล่อหลอมโดยอิทธิพลต่างชาติและตรรกะของการทูตในภาวะสงคราม
การวิจัยของเธอทำให้ตั้งคำถามว่าเหตุใดเขื่อนสำคัญอย่างปากมูลและภูมิพลจึงยังถูกเก็บรักษาไว้ แม้ผลิตไฟฟ้าได้น้อยและสร้างความเสียหายทางนิเวศอย่างรุนแรง ในขณะที่เขื่อนที่ล้าสมัยในสหรัฐอเมริกาถูกทุบทำลายไปแล้ว ในไทยกลับดำรงอยู่ในฐานะ “อนุสาวรีย์ของอุดมการณ์” ถูกปกป้องไม่ใช่เพราะประโยชน์ใช้สอย แต่เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและเรื่องเล่าของรัฐที่แตะต้องไม่ได้
Still from Mo num en ts video, Courtesy of the artist.
Still from Mo num en ts video, Courtesy of the artist.
Paradise of the Blind, 2559/2568
ผลงานจัดวาง: ปลอกกระสุน ขนาด 5.56x45 มม. จำนวน 360 ชิ้น, ลวดทองแดง เบอร์ 38, หนังสือต้องห้าม/หนังสือที่ถูกจำกัด และหนังสือและนิตยสารโฆษณาชวนเชื่อที่จัดทำโดยสำนักงานสารสนเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USIS), เครื่องทำลายเอกสาร, กระดาษถ่ายเอกสารฉีกเป็นแถบ (กระดาษกรีนลีฟและกระดาษขาว), บัตรห้องสมุด และกล่องไม้สัก
เอื้อเฟื้อผลงานโดย พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยใหม่เอี่ยม เชียงใหม่ ประเทศไทย
ฉบับปี พ.ศ. 2559 จัดทำโดย เดอะ รีดดิ้ง รูม, กรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุนจาก มูลนิธิไฮน์ริช บูเอลล์, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2568 ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเจมส์ เอช. ดับเบิลยู. ทอมป์สัน และหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน
Installation view at The Reading Room, 2016. Courtesy of the artists.
ผลงานชิ้นนี้ตั้งชื่อตามนวนิยายต้องห้ามเวียดนาม Paradise of the Blind และเป็นส่วนขยายของชุดผลงานชุดหนังสือต้องห้าม ของศุภปริญญา ในฉบับปรับปรุงปี 2568 นี้ เธอนำเสนอทั้งหนังสือต้องห้ามและหนังสือที่ไม่ถูกห้าม เพื่อเผยให้เห็นกลไกของการเซ็นเซอร์ที่ดำเนินไปอย่างมี “สองมาตรฐานทางอุดมการณ์”
ในเวอร์ชันใหม่นี้ เธอรวบรวมหนังสือต้องห้ามจากเอเชียและโอเชียเนีย พร้อมกับหนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกและสิ่งพิมพ์ที่เคยถูกห้ามในประเทศไทยช่วงสงครามเย็น เมื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ถูกกดทับ เธอวางหนังสือเหล่านี้เคียงกับสื่อที่รัฐให้การสนับสนุน เช่น นิตยสาร เสรีภาพ ซึ่งเฉลิมฉลองโลกเสรีและพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา
ศุภปริญญาอธิบายว่า แม้ผลงานก่อนหน้าจะเน้นตรวจสอบ “หนังสือต้องห้าม” แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนำเสนอ “หนังสือที่ไม่ถูกห้าม” เพื่อชี้ให้เห็นว่า การเซ็นเซอร์ไม่ได้ทำงานผ่านการห้ามเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำงานผ่าน “การอนุญาตเลือกสรร” ซึ่งผลิตซ้ำเรื่องเล่าเชิงอุดมการณ์ภายใต้ภาพลักษณ์ของเสรีภาพ
ทุนสร้างสรรค์วิดีโออาร์ตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลนิธิ ฮาน เนฟเกนส์
โครงการทุนสนับสนุนการผลิตศิลปะวิดีโอแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมูลนิธิฮาน เนฟเกนส์ มุ่งหมายที่จะเป็นกลไกในการเพิ่มพูนการผลิตงานศิลปะร่วมสมัยในสาขาศิลปะวิดีโอ โดยให้การสนับสนุนศิลปินที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ทุนนี้เน้นเฉพาะการผลิตวิดีโออาร์ตเท่านั้น จึงไม่รวมถึงภาพยนตร์ สารคดี หรือบันทึกการแสดงสดที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของวิดีโออาร์ตร่วมสมัย
เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างเส้นทางอาชีพของศิลปินผู้สมัคร โครงการฯ จะพิจารณาศิลปินในภูมิภาคที่มีเส้นทางสายอาชีพมั่นคง แต่ยังไม่เคยได้รับโอกาสสำคัญในการจัดแสดงผลงานในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง รายชื่อศิลปินที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการตัดสินเบื้องต้นถูกรวบรวมโดยนักวิจารณ์ศิลปะ ภัณฑารักษ์ และศิลปินนานาชาติจำนวนสิบคน ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดยสถาบันพันธมิตรของโครงการ การตรวจสอบเฟ้นหาศิลปินในกระบวนการนี้เองยังช่วยขยายเครือข่ายของศิลปินผู้ได้รับการเสนอชื่อ ค้นพบผลงานศิลปะวิดีโอที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก และส่งเสริมการเติบโตของสาขาศิลปะนี้ไปพร้อมกัน
มูลนิธิฮาน เนฟเกนส์ เป็นองค์กรเอกชนไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นที่บาร์เซโลนาเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยฮาน เนฟเกนส์ นักเขียนและผู้อุปถัมภ์ชาวดัตช์ มูลนิธิมุ่งเน้นด้านการสนับสนุนการผลิตศิลปะวิดีโอ โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกผ่านงานศิลปะ พร้อมร่วมมือกับสถาบันศิลปะนานาชาติชั้นนำ
ค่านิยมหลักของมูลนิธิที่กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานที่สร้างสรรค์และมองไปข้างหน้า มูลนิธิทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตที่ดูแลและส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัยตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นไปจนถึงการจัดแสดงขั้นสุดท้าย โดยมุ่งเป็นแพลตฟอร์มสนับสนุนศิลปินศิลปะวิดีโอให้เติบโตในสายอาชีพ ผ่านการมอบรางวัลและทุนสนับสนุนระดับนานาชาติ แนวทางการทำงานที่โดดเด่นของมูลนิธิช่วยให้ศิลปินไม่เพียงได้ผลิตผลงานใหม่ แต่ยังได้มีโอกาสจัดแสดงผลงานเหล่านั้นในสถาบันศิลปะทั่วโลกอีกด้วย
ส้ม ศุภปริญญา
ประเทศไทย
ศิลปิน
ส้ม ศุภปริญญาเติบโตที่จังหวัดลำพูน ปัจจุบันอาศัยและทํางานที่จังหวัดเชียงใหม่ จบปริญญาตรีจากสาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเคยทํางานเป็นอาจารย์ประจําที่นั่น ได้รับการศึกษาระดับ Meisterschulerin ด้านสื่อศิลปะจาก Hochschule für Grafik und Buchkunst เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี เธอเป็นผู้บุกเบิกด้านการติดตั้งวิดีโอแบบหลายช่องสัญญาณ (4 ช่องสัญญาณในปี 1995) และการซิงโครไนซ์วิดีโอ (2012) ในภูมิภาคของเธอ เธอสร้างงานศิลปะวิดีโอและเสียงชิ้นแรกของเธอในปี 1995 ด้วยเครื่องบันทึกเทป Handycam Video 8 และกล้อง VHS แม้กระนั้นเธอสร้างผลงานทัศนศิลป์ที่หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ศิลปะติดตั้ง วัตถุที่สร้างและค้นพบ รวมทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งมักเป็นผลงานทดลองและสารคดี ทั้งได้แสดงผลงานสู่สาธารณะในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ผลงานของเธอกล่าวถึงหลายสถานการณ์ที่ได้เผชิญ โดยสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคมและการเมือง ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และภูมิศาสตร์ ไปจนถึง ใช้ความเป็นปัจเจกบุคคล, ประสบการณ์ตรง และการศึกษาวิจัย เป็นกรอบในการมองเพื่อสร้างผลงานศิลปะ เช่นเรื่องวัฒนธรรมก๋วยเตี๋ยว การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ของแม่น้ำ เมือง เส้นทาง การผลิตกระแสไฟฟ้า รวมถึง พื้นที่ขบถ สงคราม และหนังสือต้องห้าม
นิทรรศการและเทศกาลศิลปนานาชาติ: Yebisu International Festival for Art & Alternative Visions (โตเกียว, ญี่ปุ่น, พ.ศ. 2555, 2561), EVA International [Ireland’s Biennial] (เลียม ลีก, ไอร์แลนด์, พ.ศ. 2561), 12th Gwangju Biennale (กวงจู, เกาหลีไต้, พ.ศ. 2561), 10th Asia Pacific Triennial, (Queensland Art Gallery & Gallery of Modern Art (QAGOMA), Brisbane, ออสเตรเลีย, พ.ศ. 2564 – 2565), Documenta 15 (Kassel, Germany, พ.ศ. 2565), reconnecting.earth (02) (Biennale de l’Art et de la Nature Urbaine) (เจนนิวา, สวิสเซอร์แลนด์, พ.ศ. 2566 และ Stadtgalerie Kiel, เยอรมันนี (พ.ศ. 2567), After Hope: Video of Resistance (Peabody Essex Museum, สหรัฐอเมริกา, พ.ศ. 2566), Bangkok Art Biennale (Nurture Gaia) (หอศิลป์เจ้าฟ้า, กรุงเทพฯพ.ศ. 2567-2568)
นิทรรศการล่าสุดและเร็วๆนี้: Collapsing Clouds Form Stars ฝุ่นถล่มเป็นดาว, a Mini Retrospective of Work by Som Supaparinya (แกเลอรี่ เวอร์, กรุงเทพฯพ.ศ. 2568), The Shattered Worlds: Micro Narratives from the Ho Chi Minh Trail to the Great Steppe (หอศิลป์กรุงเทพฯ, กรุงเทพฯ, เมษายน-กรกฎาคม 2568), The Rivers They don’t See (Kestner Gesellschaft, ฮันโนเวอร์, เยอรมนี, พ.ศ. 2568), Sea Art Festival (ปูซาน, เกาหลี, 2568) และ Melted Stars (DAAD Gallerie, เมืองเบอร์ลิน, เยอรมนี พ.ศ. 2569)
ในปี 2567 ส้มเป็นผู้ชนะรางวัลทุนสร้างสรรค์วิดีโออาร์ตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลนิธิ ฮาน เนฟเกนส์ Han Nefkens Foundation–Southeast Asian Video Art Production ซึ่งผลงานชิ้นใหม่จะจัดแสดงที่ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน; องค์กรศิลปะเอาท์โพส, เวียดนาม; มูเซออน, อิตาลี; พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮิโรชิม่า, ญี่ปุ่น; หอศิลป์ชาร์ลอตเทนบอร์ก, เดนมาร์ก; และ พิพิธภํณฑ์ศิลปะร็อคบันด์, จีน
Photo Credit: Mc Suppha-riksh Phattrasitthichoke
กฤติยา กาวีวงศ์
ประเทศไทย
ภัณฑารักษ์
กฤติยา กาวีวงศ์ (เกิด พ.ศ. 2507 จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการบริหารศิลปะและนโยบาย จาก สถาบันศิลปะแห่งชิคาโกและปริญญาเอกสาขาศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Project 304 พื้นที่ศิลปะทางเลือกในกรุงเทพฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2539–2545 และได้คิวเรทนิทรรศการที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น โครงการสำคัญ ได้แก่ “Under Construction” ที่ Tokyo Opera City Gallery และ “Politics of Fun” ณ กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเธอทำงานร่วมกับภัณฑารักษ์จากหลากหลายภูมิภาค
กฤติยาเป็นภัณฑารักษ์นิทรรศการเดี่ยวของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เรื่อง “The Serenity of Madness” ซึ่งได้เดินทางจัดแสดงในหลายประเทศทั่วโลก และเป็นหนึ่งในทีมภัณฑารักษ์ของ Gwangju Biennale ครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2561 ในปี พ.ศ. 2566 เธอเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ร่วมของนิทรรศการนานาชาติ “เปิดโลก” ในงานมหกรรมศิลปะมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ครั้งที่ 3
โครงการล่าสุด ได้แก่ “I understand everything” นิทรรศการผลงานย้อนหลังของ อัลมากุล เมนลิบาเยวา ณ Almaty Museum of Art เมืองอัลมาตี คาซัคสถาน และ “Living with Elastic Time” นิทรรศการประจำประเทศในงาน Cheongju Craft Biennale ประเทศเกาหลีใต้ ในปี พ.ศ. 2568
เธอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการ Center for Curatorial Leadership ที่ MoMA ในนครนิวยอร์ก ในปี พ.ศ. 2561 และดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อผลงานศิลปะเข้าคอลเลกชันของ Singapore Art Museum ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 กฤติยาได้รับรางวัล Chevalier de l’Ordre des Arts et des Lettres ในปี พ.ศ. 2566 และรางวัล Audrey Irmas Award for Curatorial Excellence ในปี พ.ศ. 2568 ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน, กรุงเทพฯ
Facilitated by

Supported by







Media partner
